Your browser's Javascript functionality is turned off. Please turn it on so that you can experience the full capabilities of this site.
โรคภัยไข้เจ็บของเราทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น โรคมะเร็ง เบาหวาน ความดัน หัวใจ หลอดเลือด โรคไต โรคอ้วน โรคตับ ฯลฯ ล้วนเกิดจากการใช้ชีวิต และอาหารการกินของเราทั้งสิ้น ดังคำกล่าวที่ว่า "You are what you eat" เมื่อการกินทำให้เกิดโรคได้ การกินก็ต้องรักษาโรคได้เช่นกัน การกินอาหารให้ถูกต้องเปรียบเสมือนการกินยาจากธรรมชาติที่ดีที่สุดนั่นเอง!
คนมากมายที่ป่วยสารพัดโรคฮิต แต่หายป่วยได้โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้ยาเลย ทั้งยังกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงด้วยการปฎิวัติรูปแบบการใช้ชีวิตและอาหารการกิน คือใช้โภชนาบำบัดและธรรมชาติบำบัดรักษาทุกโรค
ยกตัวอย่างเช่น
• นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ หมอโรคหัวใจ ตัดหัวใจคนไข้มามากกว่า 2,000 ราย แต่มาป่วยเป็นโรคหัวใจเอง ปัจจุบันทำงานเฉพาะด้านเวชศาสตร์ครอบครัว มีหน้าที่สอนให้คนไข้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อให้ห่างไกลโรค
• นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ หมอที่เคยถูกโรคร้ายรุมเร้าถึง 6 โรค ทั้งโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ตับอักเสบรุนแรง และปริมาณเม็ดเลือดแดงมากเกินไป ปัจจุบันเป็นเจ้าของเมืองสุขภาวะดี (Wellness City) ที่อยุธยา สถานที่ฟื้นฟูสุขภาพและที่พักวัยเกษียณคุณภาพระดับโลก
• นพ.นิพันธ์พงศ์ พานิช (หมอต้น) เคยมีปัญหากระดูกสันหลัง หมอแนะนำให้ผ่าตัด มิฉะนั้นจะเป็นอัมพาต ปัจจุบันเป็นแพทย์ทางเลือก สอนการรักษาโรคด้วยสมุนไพรวิถีไทย
• อ.ไพโรจน์ อรรคสีวร เคยป่วยทั้งตัว ร้อยกว่าอาการ ได้แก่ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะสุดท้าย เบาหวาน โรคไตเสื่อมสมองเสื่อม กระดูกพุ ไวรัสตับบี ฯลฯ ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนธรรมชาติบำบัด และเขียนหนังสือ “กิน-อยู่ เพื่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่า”
องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนว่า คนเราเกิดโรคจาก
(1) รูปแบบการดำรงชีวิตที่ไม่เหมาะสม
(2) กินอาหารที่ไม่สมดุล
อาหารที่เรากินนั้น หากจะถามว่า เรากินอาหารเพื่ออะไร? คำตอบที่ได้ คือ...
(1) เพื่อการมีชีวิตอยู่
(2) เพื่อป้องกันโรค
(3) เพื่อรักษาโรค
การดำรงชีวิตในปัจจุบันนี้ อาหารที่ขายกันอยู่ในท้องตลาด เกือบทั้งหมดเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และนำพาโรคภัยไข้เจ็บมาสู่ผู้บริโภค เราจึงสะสมสิ่งที่เป็นโทษและอันตรายต่อร่างกายมาตั้งแต่เด็กโดยไม่รู้ตัว เมื่อยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวที่ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ เพราะยังมีสารอาหารสะสมอยู่ในกระดูกและกล้ามเนื้อ การกินอาหารที่เป็นโทษอาจยังไม่ส่งผลต่อสุขภาพทันที เพราะร่างกายจะปรับสมดุลเองโดยอัตโนมัติ โดยการไปดึงสารอาหารมาจากกระดูกและกล้ามเนื้อตามลำดับ แต่เมื่อใดที่สารอาหารเหล่านั้นถูกใช้หมดไป ร่างกายไม่สามารถปรับสมดุลได้แล้ว โรคภัยไข้เจ็บต่างๆจึงเริ่มทยอย ปรากฏให้เห็น จะช้าหรือเร็วก็ขึ้นกับว่า เราได้กินมันมายาวนานและมากมายแค่ไหนนั่นเองเลยไม่ต้องสงสัยแล้วว่า ทำไมทุกวันนี้ โรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะโรคฮิตต่างๆเหล่านี้ จึงทยอยปรากฏขึ้นกับคนมากมาย รวมทั้งคนรอบๆตัวเรา จนแทบจะกลายเป็นความเคยชิน
อาหารที่เป็นต้นเหตุของโรค
หากหลีกเลี่ยงได้ จะไม่มีโอกาสเป็นโรคยอดฮิตเหล่านี้เลย คือ
1) ไขมันทรานส์ (Trans fat) เป็นกรดไขมันจากการแปรรูปไขมันไม่อิ่มตัว ได้แก่ น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี มาการีนเนยเทียม ไขมันเทียม ครีมเทียม ฯลฯ
ต้นเหตุ : โรคอ้วน หัวใจ หลอดเลือด ความดัน อัมพฤกษ์ อัมพาต มะเร็ง ฯลฯ
ควรเปลี่ยน มาบริโภคน้ำมันชนิดอิ่มตัวแทน เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันหมู น้ำมันไก่ เป็นต้น
2) น้ำตาลทรายขาว (Refined sugar) รวมถึงสารให้รสหวานที่ผ่านกรรมวิธี เช่น น้ำตาลทรายสีน้ำตาล ไซรัป
น้ำตาลเทียม ฯลฯ
ต้นเหตุ : โรคเบาหวาน โรคอ้วน ความดัน โรคไต มะเร็ง ฯลฯ
ควรเปลี่ยน มาบริโภคน้ำตาลจากธรรมชาติแทน เช่น น้ำตาลทรายแดง (โอ๊วทึ้ง) น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลโตนด เป็นต้น
3) แป้งขัดขาว (Refined carbohydrate) ได้แก่ ข้าวขาว แป้งขาว ก๋วยเตี๋ยวเส้นขาว ฯลฯ
ต้นเหตุ : โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคไต ฯลฯ
ควรเปลี่ยน มาบริโภคข้าวและแป้งที่ไม่ผ่านการขัดสีและฟอกขาวแทน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวแดง ข้าวหอมนิล เส้นก๋วยเตี๋ยวข้าวกล้อง เป็นต้น
4) สารปรุงแต่งสังเคราะห์ (Food additives) ได้แก่ ผงชูรส ผงฟู สารกันบูด วัตถุกันเสีย สีสังเคราะห์ ฯลฯ
ต้นเหตุ : โรคไต โรคตับ มะเร็ง ฯลฯ
ควรเปลี่ยน มาบริโภคสารปรุงแต่งที่ผลิตจากธรรมชาติแทน เช่น เกลือสมุทร (เกลือแกง) เป็นต้น
5) สารเคมีและยาฆ่าแมลง (Pesticides) ได้แก่ สารอันตรายที่ปนเปื้อนอยู่ในผัก ผลไม้ และอาหาร ต้องล้างให้สะอาด หรือกินผักปลอดสารพิษ หรือผักออแกนิกส์แทน
ต้นเหตุ : โรคมะเร็ง โรคตับ โรคไต ฯลฯ
ควรเปลี่ยน การบริโภคอาหารก่อโรคทั้ง 5 ประเภทนี้ ทั้งการบริโภคโดยตรง หรือบริโภคผ่านอาหารสำเร็จรูปที่ผลิตจากอาหารดังกล่าว ได้แก่ ฟาสต์ฟู้ด ขนมขบเคี้ยว ขนมหวาน เบเกอรี่ น้ำอัดลม น้ำผลไม้กระป๋อง ฯลฯ ล้วนเป็นสาเหตุของโรคฮิตต่างๆ เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไต อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคตับ เป็นต้น
ร่างกายที่แข็งแรงต้องมีสภาวะกรดด่างที่สมดุล คือเลือดมีค่า pH ในช่วง 7.35-7.45 (เป็นด่างเล็กน้อย) หากมีการเปลี่ยนแปลง pH ในเลือดเพียงเล็กน้อย จะมีผลต่อการทำงานและอาการที่ผิดปกติของร่างกาย ทั้งนี้เชื้อโรคและเซลล์มะเร็งจะเจริญเติบโตได้ดีมากในสภาวะเลือดที่เป็นกรด (pH ต่ำกว่า 7) เมื่อใดที่เลือดเป็นกรดนานเกินกว่า 21วัน ร่างกายจะมีอาการป่วยเกิดขึ้น ในสภาวะที่ร่างกายแข็งแรงและสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกายในจำนวนที่ไม่มากจนเกินไป ร่างกายจะสามารถปรับสมดุลและขับของเสียได้เองโดยอัตโนมัติ
ดังนั้น เราควรเลือกกินอาหารที่เป็นด่างให้ได้ในสัดส่วน 70-80% เพื่อให้ได้ความเป็นด่างมากกว่ากรดและได้รับสารอาหารที่ครบ 5 หมู่ อาหารจากธรรมชาติแทบทั้งหมดจะมีสภาวะเป็นด่าง ส่วนอาหารก่อโรคที่ผ่านกรรมวิธีแปรรูปตามที่กล่าวมาข้างต้น มีสภาวะเป็นกรดทั้งสิ้น
อ้างอิงข้อมูลจาก : นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ หมอโรคหัวใจ ผ่าตัดหัวใจ
นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ เป็นเจ้าของเมืองสุขภาวะดี (Wellness City) ที่อยุธยา
นพ.นิพันธ์พงศ์ พานิช (หมอต้น) ปัจจุบันเป็นแพทย์ทางเลือก
อ.ไพโรจน์ อรรคสีวร เป็นอาจารย์สอนธรรมชาติบำบัด
นพ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ ผู้เชี่ยวชาญโภชนาการเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย
นพ.มงคล แก้วสุทัศน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ
อ.สาทิส ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิต นสพ.ไทยรัฐ
คุณชัย ปฐมรัตน์ “คุณก็สมดุลได้” กรดด่างในเลือด
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล : www.siamdara.com,www.trans4mind.com เรียบเรียงโดย : Healthie Tastie